ต๊ะ ท่าหลา

20/11/58

หากเราเข้าใจศาสนาพุทธและดูประวัติการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าแล้ว เราก็จะเห็นว่า การก่อเกิดศาสนาพุทธนั้นอยู่ท่ามกลางความเจริญของศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และลัทธิอื่นๆ มากมาย แต่ศาสนาพุทธได้เจริญเติมโตไปทั่วโลกเพราะเนื้อแท้ของหลักธรรมที่แตกต่างจากศาสนาอื่น ตรงที่การดับทุกข์หรือเอาชนะใจตนเอง หรือเอาชนะกิเลสนั่นเอง และความเป็นห่วงว่าศาสนาพุทธจะล่มสลายนั้น ในสมัยพระพุทธกาลก็เคยเกิดขึ้น ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “พุทธศาสนาไม่มีผู้ใดทำลายได้ เว้นแต่พุทธบริษัททั้งสี่เท่านั้นที่จะเป็นผู้ทำลาย”

พุทธบริษัททั้งสี่ ได้แก่

1. นักบวชที่เป็นชาย เรียกว่า ภิกษู หรือภิกขุ ซึ่งต้องถือศีล 227 ข้อ
2. นักบวชที่เป็นหญิง เรียกว่า ภิกษุณี หรือภิกขุณี ซึ่งต้องถือศีล 310ข้อ ปัจจุบันไม่มีแล้ว แต่ยังมีนักบวชหญิงเรียกว่า ชี หรือ แม่ชี ถือศีล 8 ข้อ
3. ประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธที่เป็นชาย เรียกว่า อุบาสก ต้องถือศีล 5 ข้อ
4. ประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธที่เป็นหญิง เรียกว่า อุบาสิกา ต้องถือศีล 5 ข้อ

พุทธบริษัททั้งสี่เหล่านี้เท่านั้น ที่จะทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองหรือล่มสลาย

ปัจจุบันเราต้องยอมรับความจริงว่า ผู้ที่นับถือศาสนาต่างๆ นั้น เป็นการนับถือโดยผู้ปกครองเป็นผู้กำหนดทั้งการศึกษาก็มิได้ให้ความสำคัญเรื่องการให้ความรู้ทางจิตวิญญาณ มุ่งแต่ให้ความรู้ทางประกอบอาชีพเท่านั้น ทำให้สังคมปัจจุบันเห็นแก่ตัว ผูกพยาบาทหมาดร้าย และทำร้ายซึ่งกันและกัน โดยไม่ละอายต่อบาป อันผิดไปจาก หลักการของผู้นับถือศาสนาพุทธที่มีแต่การให้อภัยและช่วยเหลือกัน ไม่ซ้ำเติมและให้ร้ายซึ่งกันและกัน

ดังนั้น การนำพุทธศาสนามาบรรจุในรัฐธรรมนูญไม่ได้ทำให้พุทธศาสนาจะอยู่คู่กับประเทศไทย การจะให้พุทธศาสนาอยู่คู่กับประเทศไทยตลอดไป พุทธบริษัททั้งสี่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง โดยนักบวชจะต้องนำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาเผยแพร่ให้อุบาสกและอุบาสิกามาถือปฏิบัติให้ถูกต้อง มิใช่ชักนำให้อุบาสกและอุบาสิกาซื้อบุญเพื่อนำไปสู่สวรรค์ แต่ต้องอบรมสั่งสอนให้อุบาสกและอุบาสิกาทำบุญกับพระอรหันต์ในบ้าน (บิดา, มารดา) ให้มากๆ และขัดเกลากิเลสให้ลดลง หรือเอาชนะใจตนเองมากกว่าการเอาชนะผู้อื่น

ปัจจุบัน พระภิกษุ จำนวนมากไม่ได้นำหลักธรรมของพระพุทธมาเผยแพร่ แต่กลับนำหลักธรรมพื้นฐานมาให้อุบาสกและอุบาสิกา หลงให้ทำบุญเพื่อไปสวรรค์หรือซื้อสวรรค์ มิได้สอนให้ปฏิบัติตนเพื่อเอาชนะกิเลสของตน

ดังนั้น ถ้านักบวชท่านใดที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงการสั่งสอนอุบาสกและอุบาสิกาตามหลักธรรมที่แท้จริงถือได้ว่านักบวชเหล่านั้นเป็นผู้ทำลายศาสนาพุทธ

ทั้งเหล่าอุบาสกและอุบาสิกาก็เช่นเดียว ต่างก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำให้นักบวชปฏิบัติตนให้อยู่ในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า อุบาสกและอุบาสิกาทั้งหลายมีหน้าที่ที่จะต้องช่วยกันดูแลนักบวชให้ละหากจากกิเลส มิใช่ส่งเสริมให้นักบวชหลงใหลอยู่ในกิเลสมากขึ้น ทำให้นักบวชหลงใหลในอามิสสินจ้าง จึงไม่สอนหลักธรรมให้ขัดเกากิเลส แต่กลับช่วยกันส่งเสริมกิเลสซึ่งกันและกัน เช่น การสร้างกุฏิให้สวยงาม สร้างด้วยไม้สักราคาแพง ซึ่งความจริงกุฏิมีเพื่ออาศัยไม่ใช่สวยงาม หรือซื้อรถยนต์ราคาแพงหรูๆ ให้วัดเพื่อหลวงพ่อใช้ ซึ่งความจริงเราจะเห็นว่า รถที่อุบาสกและอุบาสิกาซื้อถวายวัดนั้น ไม่ค่อยได้ใช้เท่าใดกลับ เป็นภาระให้วัดต้องบำรุงรักษา เพราะภารกิจของพระคือการนำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปเผยแพร่ กิจกรรมปกติจึงอยู่ที่วัด ส่วนกิจกรรมนอกวัดอุบาสกและอุบาสิกา ก็มักจะจัดยานพาหนะมารับพระท่านอยู่แล้ว

หากอุบาสกและอุบาสิกายังคงดูแลนักบวชให้อยู่ใกล้กิเลสมากขึ้น ศาสนาพุทธก็ย่อมเสื่อมทรามไปเป็นไปตามธรรมดา เราจึงพบข่าวนักบวชกระทำผิดอยู่เนืองๆ ทั้งหากรัฐซึ่งมีหน้าที่กำหนดแนวทางให้ประชาชนประพฤติดี ไม่ทำผิดกฎหมาย การศึกษาในทุกระดับการศึกษา จึงจะต้องมีหลักสูตรวิชาหน้าที่และศีลธรรมมาศึกษากันในระบบการศึกษาด้วย จึงควรนำศาสนาทุกศาสนาที่มีผู้นับถือตั้งแต่ ร้อยละห้าของประชาชนมาบรรจุในระบบศึกษา